ปัจจุบันมีเทคนิคมากมายที่ช่วยยกกระชับผิวหน้าให้เรียบเนียน สวยเรียว พร้อมคืนความอ่อนวัยให้ผิวสวย ซึ่งการฉีดโบท็อกลิฟกรอบหน้า (Lifting Botox) ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเวลานี้ เนื่องจากผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน เห็นผลไว สามารถฉีดซ้ำได้ ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

ในบทความนี้ เราเลยอยากมาแนะนำให้รู้จักการฉีดโบท็อกลิฟกรอบหน้าให้มากขึ้น ไปดูกันว่าเทคนิคโบท็อกลิฟกรอบหน้ามีจุดเด่น มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร โบท็อกลิฟหน้า ราคาเท่าไหร่? พร้อมกับที่จะชวนเพื่อนๆ ไปตอบคำถามที่ว่า การฉีดโบท็อกควรฉีดโบท็อกลิฟกรอบหน้า ควรฉีดตอนไหนดีหรือฉีดช่วงอายุเท่าไหร่จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าพร้อมแล้วไปค้นหาคำตอบกับ นิติพล คลินิก กันได้เลย!

ชวนรู้จัก โบท็อกลิฟหน้า

โบท็อกลิฟหน้า คือ การฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A) เข้าไปที่บริเวณกรอบใบหน้า เพื่อคลายกล้ามเนื้อส่วนคอและกล้ามเนื้อบริเวณใต้คาง ส่งผลให้เกิดการยกกระชับใบหน้า ทำให้ดูสวยคม มีกรอบหน้าชัด และดูมีมิติ โดยหลังจากฉีดโบท็อกลิฟหน้า จะค่อยๆ เห็นผลภายใน 2 สัปดาห์ และจะเห็นผลได้ชัดเจนหลังผ่านไปประมาณ 1 เดือน ทั้งนี้ผลของการฉีดโบท็อกลิฟหน้าอาจแตกต่างกันไปตามสภาพผิวเดิมหรือการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกลิฟหน้า สำหรับเทคนิคการฉีดโบท็อกลิฟหน้าที่กำลังมาแรงในเวลานี้ มีอยู่ด้วยกัน 2 เทคนิคคือ

  • Dermolift เป็นเทคนิคการฉีดโบท็อกที่บริเวณกรอบหน้าไล่ขึ้นไปทางด้านบน ซึ่งจะทำให้ชั้นผิวหนังเกิดการหดตัว และทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น เห็นกรอบหน้าคมชัดขึ้น เป็นเทคนิคที่เห็นผลไว แต่จะคงอยู่ได้ประมาณ 1-2 เดือน
  • Nefertiti Lift เป็นการฉีดโบท็อกไปที่บริเวณลำคอหรือใต้คาง ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อส่วนที่เรียกว่า พลาทีสมา (Platysma) โดยกล้ามเนื้อส่วนนี้จะดึงผิวหน้าให้หย่อนคล้อย เมื่อเรามีอายุที่มากขึ้น ซึ่งการฉีดโบท็อกลิฟหน้าแบบ Nefertiti Lift ก็จะช่วยกระชับผิวหน้า แลดูอ่อนวัยขึ้น ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน

โบท็อกลิฟหน้า ฉีดตอนอายุเท่าไหร่ดี?

  • อายุ 15 – 18+

ในช่วงอายุ 15 ปีขึ้นไป ยังเป็นช่วงที่ร่างกายสามารถซ่อมแซมหรือฟื้นฟูสภาพเซลล์ผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว ผิวพรรณเรียบเนียน ดูสดใสมีชีวิตชีวา เราจึงแนะนำว่า การฉีดโบท็อกลิฟหน้ายังไม่มีความจำเป็นมากนักในช่วงวัยนี้

  • อายุ 20 +

เป็นช่วงวัยที่เริ่มมีปัญหาริ้วรอยหย่อนคล้อยให้เห็นแล้ว เนื่องจากคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ผิวหนังเรียบตึง กระชับ และยืดหยุ่น เกิดการสูญสลายไป มีการสร้างใหม่น้อยลง เกิดเป็นปัญหาริ้วรอยที่เริ่มเห็นชัด

สำหรับการฉีดโบท็อกลิฟหน้าในช่วงตั้งแต่อายุยังน้อยหรือประมาณ 20 ปีขึ้นไป จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าและชัดเจนกว่า โดยเราแนะนำเรื่องการฉีดโบท็อกเพื่อปรับลดกราม ฉีดเพื่อปรับกรอบหน้าให้เรียวสวย พร้อมทั้งเพื่อช่วยป้องกันริ้วรอยที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งการฉีดโบท็อกลิฟหน้าตั้งแต่ช่วงอายุยังน้อยก็จะเห็นผลดีกว่าและชัดเจนกว่า

  • อายุ 30 +

พออายุเริ่มเข้าสู่เลข 3 สาว ๆ และหนุ่ม ๆ หลายคน ก็จะเห็นริ้วรอยหย่อนคล้อยบนหน้าผาก แก้ม และคางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอายุที่มากขึ้น สภาพอากาศ ปัญหามลพิษและฝุ่นควัน การแสดงสีหน้าเยอะๆ การใช้เครื่องสำอางค์ ความเครียดสะสมจากการทำงาน และโดยเฉพาะเมื่อคอลลาเจนที่ชั้นผิวหนังถูกทำลายมากขึ้นกว่าเดิม ประกอบกับผิวชั้นนอกที่มีการผลัดตัวได้ช้าลง ก็ยิ่งส่งผลให้ผิวหน้าดูหยาบกร้านและดูหมองคล้ำได้

สำหรับการฉีดโบท็อกลิฟหน้าในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไปนั้น จะนิยมฉีดเพื่อเพิ่มเกราะป้องกันให้ผิว ลบเลือนริ้วรอยบริเวณส่วนต่างๆ ของใบหน้า เน้นการปรับรูปหน้าให้สวยเข้ารูป กรอบหน้าชัด

  • อายุ 40-50+

เมื่ออายุเริ่มเข้าสู่เลข 4 ถือเป็นช่วงวัยที่ชั้นผิวหนังค่อนข้างมีความอ่อนแอ ผิวหนังชั้น SMAS หรือชั้นเนื้อเยื่อพังผืดที่อยู่ระหว่างชั้นไขมันและกล้ามเนื้อเกิดการเสื่อมลง ส่งผลให้ผิวหน้าดูหย่อนคล้อยมากกว่าเดิม ผิวสูญเสียความเต่งตึงและลึกขึ้นอย่างชัดเจน รวมถึงปัญหาอื่น ๆ เช่น หนังตาตก ร่องตาลึก สีผิวไม่สม่ำเสมอ ช่วงวัยนี้จึงต้องดูแลใส่ใจผิวหน้ามากเป็นพิเศษ

สำหรับการฉีดโบท็อกลิฟหน้าในช่วงอายุ 40-50 อัพ จะเน้นไปที่การปรับผิวหน้าให้เรียวกระชับดูเต่งตึง ฟื้นฟูผิวให้กลับมาสวยย้อนวัย แต่อาจต้องใช้ปริมาณโบท็อกซ์มากกว่าผู้ที่ฉีดเมื่อตอนอายุยังน้อย

ข้อควรทำ เพื่อให้การฉีดโบท็อกลิฟหน้าได้ผลลัพธ์ดีที่สุด

  • ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน เน้นทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะในกลุ่มผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี และผลไม้สีส้ม-เหลืองที่ให้วิตามินสูง ไม่ทานอาหารหวานจัดหรือเค็มจัด และควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิว
  • หมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ เช่น การวิ่งหรือเดินเร็ว ประมาณ 20 นาทีต่อครั้ง
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างเต็มที่